SSD ระดับองค์กรเพื่อประสิทธิภาพ ความเชื่อถือได้ และความสามารถในการสเกล

การรับประกัน SSD แต่ละแบบอนุญาตให้มีการเขียนข้อมูลในปริมาณจํากัดตลอดอายุการใช้งาน เนื่องจากแฟลชพื้นฐานรองรับวงจรการลบและการเขียนที่จํากัดเท่านั้น การเลือก SSD ที่มีความทนทานสูงเกินไปสําหรับแอปพลิเคชันที่เน้นการอ่าน จะเป็นการเพิ่มต้นทุนโดยไม่จําเป็น ในขณะที่การเลือก SSD ที่มีความทนทานต่ำเกินไปสําหรับภาระงานที่เน้นการเขียน ก็อาจทําให้การใช้งานล้มเหลวก่อนเวลาอันควร ความทนทานของ SSD วัดได้จาก:

• การเขียนข้อมูลไดรฟ์ต่อวัน (DWPD) ซึ่งระบุจํานวนการเขียนข้อมูลไดรฟ์แบบเต็มที่ที่สามารถทำได้ต่อวัน
  
• เทราไบต์ที่เขียน (TBW) แสดงถึงข้อมูลรวมทั้งสิ้นที่เขียนตลอดอายุการใช้งานของไดรฟ์

ความแตกต่างที่แท้จริงระหว่าง SSD สําหรับผู้บริโภคและ SSD ระดับองค์กรก็คือ การจัดการกรณีข้อผิดพลาด เหตุการณ์ไฟดับโดยไม่คาดคิด การเปลี่ยนแปลงค่าของบิตแบบสุ่มในตัวควบคุมหรือพาธข้อมูล และข้อผิดพลาดอื่นๆ เกี่ยวกับแฟลช ล้วนแล้วแต่อาจทําให้ข้อมูลเสียหายได้ และยังมีผลต่างๆ มากมายในแง่ประสิทธิภาพ ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนี้ เงื่อนไขเหล่านี้จะได้รับความคุ้มครอง SSD ระดับองค์กรประกอบด้วยกลไกการปกป้องข้อมูลที่สําคัญ ดังนี้

• รหัสแก้ไขความผิดพลาด (ECC) รับรองความสมบูรณ์ของข้อมูลโดยการแก้ไขข้อผิดพลาดของบิต
  
• การป้องกันไฟฟ้าขัดข้อง ใช้ตัวเก็บประจุเพื่อเขียนให้สมบูรณ์ระหว่างที่ไฟฟ้าดับ
  
• การป้องกันพาธข้อมูลแบบครบวงจร ช่วยป้องกันความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในข้อมูลโดยเราไม่ทราบ (Silent Data Corruption)
  

SSD สร้างขึ้นจากแฟลชเซลล์ โดยมีการใช้งานที่หลากหลาย ซึ่งมีตั้งแต่การกําหนดค่าแบบชั้นเดียว, แบบบิตเดียวต่อเซลล์ ไปจนถึงกลุ่มที่เรียงซ้อนกันแบบสามมิติ โดยที่แฟลชเซลล์แต่ละเซลล์สามารถเก็บประจุได้ถึง 16 ระดับ การทําความเข้าใจจุดแข็งและจุดอ่อนของ NAND แต่ละประเภทจะช่วยให้คุณสามารถเลือก SSD ที่เชื่อถือได้และมีอายุการใช้งานที่เหมาะกับการใช้งานเฉพาะ NAND ประเภทต่างๆ มีประสิทธิภาพ ความทนทาน และต้นทุนแตกต่างกัน ดังนี้

• SLC มีความทนทานสูงสุดและเร็วสุด แต่มีราคาแพงที่สุด
  
• MLC มอบความสมดุลระหว่างประสิทธิภาพกับค่าใช้จ่ายสําหรับการใช้งานทั่วไปขององค์กร
  
• TLC ถูกนํามาใช้อย่างกว้างขวางเพราะราคาไม่แพงและมีความทนทานอย่างเหมาะสม
  
• QLC มีความหนาแน่นสูงแต่มีความทนทานต่ำ เหมาะสําหรับการจัดเก็บแบบถาวร

ความต้องการประสิทธิภาพที่สูงขึ้นมักจป็นเหตุผลแรกที่สถาปนิกใช้ในการพิจารณาเลือก SSD อย่างไรก็ตาม การเปรียบเทียบประสิทธิภาพที่แท้จริงนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ตัวเลขที่เหมาะสมของประสิทธิภาพ ต้องได้มาโดยคำนึงถึงภาระงานที่กําหนดไว้ล่วงหน้า นี่เป็นขั้นตอนที่จําเป็นในการทําความเข้าใจถึงประสิทธิภาพของ SSD ในการใช้งานเฉพาะด้าน ควรประเมินประสิทธิภาพของ SSD โดยใช้ปัจจัยต่อไปนี้

• IOPS สําหรับการดําเนินงานต่อวินาที
  
• เวลาแฝงในการตอบสนอง
  
• คุณภาพการให้บริการ (QoS) เพื่อความมีมาตรฐานสอดคล้องกันภายใต้โหลด
  
• การเตรียมการล่วงหน้าเพื่อจําลองการใช้งานในโลกความเป็นจริง

SSD มักจะสามารถปรับตั้งได้เพื่อเพิ่มกำลังการทำงานหรือประสิทธิภาพในการทํางาน ด้วยการใช้ตัวเลือกเหล่านี้อย่างชาญฉลาด คุณจะสามารถประหยัดพลังงานหรือเพิ่มประสิทธิภาพที่สําคัญทั่วทั้งดาต้าเซ็นเตอร์ได้ SSD ระดับองค์กรสามารถได้รับการปรับแต่งเพื่อประสิทธิภาพ ดังนี้

• การลดกำลังไฟลง ช่วยลดการใช้พลังงานโดยต้องแลกกับประสิทธิภาพที่ลดลงเช่นกัน
  
• การกันพื้นที่ส่วนหนึ่งเอาไว้ ช่วยสํารองพื้นที่เพิ่มเติมเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการเขียนและความทนทาน

การปรับใช้ SSD นั้นค่อนข้างง่าย อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการติดตั้ง SSD มากขึ้น การใช้เครื่องมือที่สามารถตรวจติดตามสภาวะ ประสิทธิภาพ และการใช้งานจากแพลตฟอร์มแบบรวมศูนย์ จะช่วยประหยัดเวลาและลดความเครียด เครื่องมือการตรวจติดตามช่วยรักษาสภาวะของ SSD ดังนี้

• SMART ให้การวินิจฉัยขั้นพื้นฐาน
  
• แฟ้มบันทึก SAS/NVMe นําเสนอการติดตามข้อผิดพลาดโดยละเอียด
  
• แพลตฟอร์มการจัดการกลุ่มอุปกรณ์ ช่วยให้สามารถตรวจติดตามจากส่วนกลาง อัปเดตเฟิร์มแวร์ และการแจ้งเตือน